เมนู

ทัพพมัลลปุตตเถราปทานที่ 4 (435)



ว่าด้วยบุพจริยาของพระทัพพมัลลปุตตเถระ



[124] พระพิชิตมารพระนามว่าปทุมุต-
ตระ ทรงรู้แจ้งโลกทั้งหมดที่เป็นมุนี มีพระจักษุ
ได้เสด็จอุบัติขึ้นในกัปที่แสนแต่ภัทรกัปนี้
พระองค์ทรงตรัสสอน ทำสัตว์ให้รู้ชัด
ยังสรรพสัตว์ให้ข้ามวัฏสงสาร ทรงฉลาดใน
เทศนา เป็นผู้เบิกบาน ทรงยังประชุมชนเป็น
อันมากให้ข้ามพ้นไปได้
พระองค์เป็นผู้พระอนุเคราะห์ ทรงประกอบ
ด้วยพระกรุณา ทรงแสวงหาประโยชน์แก่สรรพ-
สัตว์ ยังเดียรถีย์ที่มาเฝ้าทุกคนให้ดำรงอยู่ใน
เบญจศีล
เมื่อเป็นเช่นนี้ พระศาสนาจึงหมดความ
อากูล ว่างจากพวกเดียรถีย์ และวิจิตรด้วยพระ-
อรหันต์ผู้คงที่ มีความชำนิชำนาญ
พระมหามุนีพระองค์นั้นสูง 58 ศอก มี
พระฉวีวรรณงามคล้ายทองคำอันล้ำค่า มีพระ-
ลักษณะอันประเสริฐ 32 ประการ

ครั้งนั้นอายุขัยของสัตว์แสนปี พระชิน-
สีห์พระองค์นั้น ดำรงพระชนม์อยู่โดยกาลประมาณ
เท่านั้น ทรงยังประชุมชนเป็นอันมากให้ข้ามพ้น
วัฏสงสารไปได้
ครั้งนั้น เราเป็นบุตรเศรษฐี มียศใหญ่
ในพระนครหังสวดี เข้าไปเฝ้าพระองค์ผู้ส่องโลก
ให้สว่างไปทั่ว แล้วได้สดับพระธรรมเทศนา
เราได้ฟังพระดำรัสของพระศาสดาผู้ตรัส
สรรเสริญสาวกของพระองค์ ผู้แต่งตั้งเสนาสนะ
ให้ภิกษุทั้งหลาย ก็ชอบใจ
จึงทำอธิการแด่พระองค์ผู้ทรงแสวงหา
คุณอันใหญ่พร้อมทั้งพระสงฆ์แล้ว หมอบลง
แทบพระบาทด้วยเศียรเกล้า แล้วปรารถนา
ฐานันดรนั้น
แท้จริง ในครั้งนั้น พระมหาวีรเจ้าพระ-
องค์นั้น ได้ทรงพยากรณ์กรรมของเราไว้ว่า
เศรษฐีบุตรนี้ ได้นิมนต์พระโลกนายก
พร้อมด้วยพระสงฆ์ให้ฉันตลอด 7 วัน เขาจักมี
อินทรีย์ดังใบบัว มีจะงอยบ่าเหมือนของราชสีห์
มีผิวพรรณดุจทองคำ หมอบอยู่แทบเท้าของเรา
ปรารถนาตำแหน่งอันสูงสุด


ในกัปที่แสนแต่กัปนี้พระศาสดามีพระ-
นามว่า โคดม ซึ่งสมภพในวงศ์พระเจ้าโอกกาก-
ราช จักเสด็จอุบัติขึ้นในโลก
เศรษฐีบุตรนี้จักได้เป็นสาวกของพระ-
พุทธเจ้าพระองค์นั้น ปรากฏโดยชื่อว่า ทัพพะ เป็น
ภิกษุผู้เลิศฝ่ายจัดแจงเสนาสนะตามที่ปรารถนา
ด้วยกรรมที่ทำไว้ดีแล้ว และด้วยการตั้ง
เจตน์จำนงไว้ เราละร่างมนุษย์แล้ว ได้ไปสวรรค์
ชั้นดาวดึงส์
เราได้เสวยราชสมบัติในเทวโลก 300
ครั้ง และได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิ 500 ครั้ง เป็น
พระเจ้าประเทศราชอันไพบูลย์โดยคณานับมิได้
เพราะกรรมนั้นนำไป เราจึงมีความสุขในที่ทุก
สถาน
ในกัปที่ 91 แต่ภัทรกัปนี้ พระนายก
พระนามว่าวิปัสสี ผู้มีพระเนตรงาม ทรงเห็น
แจ้งธรรมทั้งปวงได้เสด็จอุบัติขึ้นแล้ว เราเป็นผู้มี
จิตขัดเคือง ได้พูดตู่สาวกของพระพุทธเจ้าผู้คงที่
พระองค์นั้น ผู้สิ้นอาสวะทั้งปวงแล้ว ทั้ง ๆ ที่รู้
อยู่ว่าท่านเป็นผู้บริสุทธิ์

และเราจับสลากแล้ว ถวายข้าวสุกที่
หุงด้วยน้ำนม แก่พระเถระทั้งหลาย ผู้แสวงหา
คุณใหญ่ ผู้เป็นสาวกของพระผู้แกล้วกล้ากว่า
นรชนพระองค์นั้นแหละ
ในภัทรกัปนี้ พระพุทธเจ้าผู้เป็นพงศ์พันธ์
ของพรหม มีพระยศใหญ่ ประเสริฐกว่านัก-
ปราชญ์ พระนามว่า กัสสปะ ได้เสด็จอุบัติขึ้นแล้ว
พระองค์ทรงยังศาสนธรรมให้รุ่งโรจน์ ข่มขี่
เดียรถีย์ผู้หลอกลวงเสีย ทรงแนะนำเวไนยสัตว์
แล้ว เสด็จปรินิพพานพร้อมทั้งพระสาวก
ครั้นเมื่อพระโลกนาถเจ้าพร้อมทั้งพระ-
สาวกปรินิพพานแล้ว ครั้นเมื่อศาลธรรม กำลัง
จะสิ้นสูญอันตรธาน ทวยเทพและมนุษย์พากัน
สลดใจ สยายผม มีหน้าเศร้า คร่ำครวญว่า
ดวงตาคือธรรมจักดับแล้ว เราจักไม่ได้
เห็นท่านที่มีวัตรดีงามทั้งหลาย เราจักไม่ได้ฟัง
พระสัทธรรม น่าสังเวช เราเป็นคนมีบุญน้อย
ครั้งนั้น พื้นปฐพีทั้งหมดนี้ ทั้งใหญ่ทั้ง
หนาได้ไหวสะเทือน สาครสมุทรได้ แม่น้ำ
ร้องอย่างน่าสงสาร

อมนุษย์ตีกลองดังทั่วทั้งสี่ทิศ อสนีบาต
อันน่ากลัวตกลงไปรอบ ๆ อุกกาบาตตกจากท้องฟ้า
ดาวหางปรากฏ เกลียวแห่งเปลวไฟมีควันพวยพุ่ง
หมู่มฤคร้องครวญครางอย่างน่าสงสาร
ครั้งนั้น เราทั้งหลายเป็นภิกษุรวม 7 รูป
ด้วยกัน ได้เห็นความอุบาทว์อันร้ายแรง แสดง
เหตุว่าพระศาสนาจะสิ้นสูญ จึงเกิดความสังเวช
คิดกันว่า
เว้นพระศาสนาเสีย ไม่ควรที่เราจะมี
ชีวิตอยู่ เราทั้งหลายจึงจะเข้าไปสู่ป่าใหญ่แล้ว
บำเพ็ญเพียรตามคำสอนของพระชินสีห์เจ้า
ครั้งนั้น เราทั้งหลายได้พบภูเขาหินใน
ป่าสูงลิ่ว เราไต่ขึ้นทางพะอง แล้วผลักพะอง
ให้ตกลงเสีย
ครั้งนั้น พระเถระได้ตักเตือนเราว่าการ
อุบัติแห่งพระพุทธเจ้าหาได้ยาก อีกประการหนึ่ง
ความเชื่อที่บุคคลได้ไว้ ก็หาได้ยาก และพระ-
ศาสนายังเหลืออีกเล็กน้อย
ผู้ที่ปล่อยเวลาให้ผ่านไปเสีย จะต้องตก
ลงไปในสาคร คือความทุกข์อันไม่มีที่สิ้นสุด

เพราะฉะนั้น พวกเราควรกระทำความเพียร ตลอด
เวลาที่พระศาสนายังดำรงอยู่เถิด ดังนี้
ครั้งนั้น พระเถระนั้นเป็นพระอรหันต์
พระอนุเถระได้เป็นอนาคามี พวกเราที่เหลือ
จากนี้ เป็นผู้มีศีลบริสุทธิ์ประกอบความเพียร จึง
ได้ไปยังเทวโลก
องค์ที่ข้ามสงสารไปได้ปรินิพพานแล้ว
อีกองค์หนึ่งเกิดในชั้นสุทธาวาส, เราทั้งหลาย คือ
ตัวเรา 1 พระปุกกุสาติ 1 พระสภิยะ 1 พระ-
พาหิยะ 1 พระกุมารกัสสปะ 1 เกิดในที่นั้น ๆ
อันพระโคดมบรมศาสดา ทรงอนุเคราะห์ จึง
หลุดพ้นไปจากเครื่องจองจำ คือ สังสารวัฏได้
เราเกิดในพวกมัลลกษัตริย์ในพระนคร
กุสินารา เมื่อเรายังอยู่ในครรภ์นั่นแล มารดาได้
ถึงแก่กรรม เขาช่วยกันยกสรีระขึ้นสู่เชิงตะกอน
ลำดับนั้น เราตกลงมา ตกลงไปในกอง
ไม้ ฉะนั้นจึงปรากฏนามว่า ทัพพะ ด้วยผลแห่ง
การประพฤติพรหมจรรย์ เรามีอายุได้ 7 ขวบ
ก็หลุดพ้นจากกิเลส ด้วยผลที่ถวายข้าวสุก
ผสมน้ำนม เราจึงเป็นผู้ประกอบด้วยองค์ 5 ด้วย
บาปเพระกล่าวตู่พระขีณาสพ เราจึงถูกคนโจท
มากมาย

บัดนี้เราล่วงบุญและบาปได้ทั้งสองอย่าง
แล้ว ได้บรรลุบรมสันติ เป็นผู้ไม่มีอาสวะอยู่
เราแต่งตั้งเสนาสนะให้ท่านผู้มีวัตรอันดี
งามทั้งหลายยินดี พระพิชิตมารทรงพอพระทัยใน
คุณข้อนั้นจึงได้ทรงตั้งเราไว้ในตำแหน่งเอตทัคคะ
เราเผากิเลสทั้งหลายแล้ว. . .คำสอน
ของพระพุทธเจ้าเราได้ทำเสร็จแล้ว ดังนี้.
ทราบว่า ท่านพระทัพพมัลลปุตตเถระได้ภาษิตคาถาเหล่านี้ ด้วย
ประการฉะนี้แล
จบทัพพมัลลปุตตเถราปทาน

534. อรรถกถาทัพพมัลลปุตตเถราปทาน



พึงทราบเรื่องราวในอปทานที่ 4 ดังต่อไปนี้ :-
อปทานของท่านพระทัพพมัลลปุตตเถระ อันมีคำเริ่มต้นว่า ปทุมุตฺตโร
นาม ชิโน
ดังนี้.
แม้พระเถระรูปนี้ ก็ได้เคยบำเพ็ญกุศลมาแล้วในพระพุทธเจ้าพระ-
องค์ก่อน ๆ ได้สั่งสมแต่บุญอันเป็นอุปนิสัยแห่งพระนิพพานไว้เป็นอันมากใน
ภพนั้น ๆ ในกาลแห่งพระผู้มีพระภาคเจ้าพระนามว่า ปทุมุตตระ ท่านได้
เกิดเป็นบุตรเศรษฐี ได้เป็นผู้สมบูรณ์ด้วยสมบัติ เขาเลื่อมใสในพระศาสดา